เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๕ พ.ค. ๒๕๔๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ทุกคนเกิดมาในโลกนี้ ทุกคนต่างว่าทุกคนเป็นคนที่ฉลาด เห็นไหม เพราะทุกคนเป็นคนที่ฉลาด ทุกคนมันเข้าข้างตัวเองไง กิเลสมันจะว่าเราเป็นคนฉลาด แต่คนที่ฉลาดนะ เขาจะศึกษาตลอดไป

เณรราหุลเวลาเช้าขึ้นมานะ กำทรายขึ้นมากำหนึ่ง “วันนี้ขอศึกษาธรรมะให้ได้เท่านี้” ขอศึกษาธรรมะให้ได้เท่านี้ เห็นไหม ไม่เคยอิ่มพอในการศึกษาเลย สามเณรราหุลนะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วก็ยังศึกษาๆ ตลอดไป แล้วไม่มีทิฏฐิมานะนะ

เวลาที่ว่าเวลาพระนะ เวลาพระธุดงค์ไป แล้วก็จับจองพื้นที่กัน เห็นไหม ลูกศิษย์ใครก็ไปจับจองพื้นที่ก่อน สามเณรราหุลไปนอนอยู่ในส้วมนะ ไปนอนในส้วมเพราะอะไร เพราะเป็นเณร เป็นพระอรหันต์นะแต่เป็นเณร เป็นเณรสิทธิไม่มี สิทธิต่ำกว่าพระใช่ไหม พระต้องได้ก่อนเพราะมันธรรมวินัย ธรรมวินัยนี่ต้องพระเลือกก่อน อาวุโส ภันเต พระได้อาวุโสก่อน แล้วก็ภันเตมาเพื่ออะไร เพื่อการปกครองไง นี่วินัย

ธรรมและวินัย ธรรมเห็นไหม ธรรมคือสัจจะความจริงในหัวใจของสามเณรราหุลนะเป็นพระอรหันต์ ธรรมนี่เหนือโลก แต่อยู่ในโลกมันเอามาเชิดชูกันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันมีกฎระเบียบไง กฎระเบียบคือวินัย เห็นไหม วินัยนี่อาวุโส ภันเต แล้วก็ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา สามเณร สามเณรี สิทธิมันต่างๆ กันมา สิทธิก็ให้เป็นการปกครอง

ถึงบอกว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า “สารีบุตร เธอรู้ไหมว่าเมื่อคืนลูกศิษย์เธอนอนอยู่ที่ไหน?” พระสารีบุตรยังไม่รู้เลยว่าสามเณรราหุลนอนอยู่ในส้วม นอนอยู่ในส้วมนะ เพราะอะไร เพราะกุฏิมันไม่พอ ที่พัก เห็นไหม สามเณรไปนอนอยู่ในส้วม ทิฏฐิมานะไม่มีไง ไม่มีทิฏฐิมานะอันนั้น

เวลาจะมองโลก เรามองกันอย่างไร ถ้าเรามองโลกนะ นี่มุมมองต่างๆ เห็นไหม เหตุการณ์เดียวกันแต่ทุกคนมุมมองแล้วแต่ว่าคนจะฉลาดมากฉลาดน้อย จะมีมุมมองอย่างนั้น ถ้าฉลาดน้อยก็ตีโพยตีพายไปตามประสาฉลาดน้อย ถ้าฉลาดมากนะ โลกเป็นอย่างนี้ ความเข้าใจโลกเป็นอย่างนี้ ถ้าฉลาดถึงที่สุดนะ นี่สมมุติ แล้วมันใครเป็นล่ะ?

ใครประสบการณ์อย่างนั้น มันอยู่ที่เวรที่กรรม แล้วเราก็พูดกันนะ ทางวิทยาศาสตร์เราจะบอกเลย อะไรก็ยกให้เวรให้กรรมหมดเลย ถ้าเป็นเวรเป็นกรรมแล้วคนเกิดมาทำไม? คนเกิดมานี่มันมีหลายส่วน มันมีหลายสิ่งหลายอย่างรองรับชีวิตเรา ถ้าเราไม่ได้สร้างบุญกุศลนะ ดูนะ ดูการเกิด เราก็ไม่เชื่ออีกนะ ดูว่าสัตว์มันเกิด มันเกิดได้อย่างไร ดูสัตว์มันเกิดสิ สัตว์นี่เกิดมหาศาลเลย แล้วสิ่งที่เรามองไม่เห็นอีกมหาศาลเลย

แล้วเราเกิดเป็นมนุษย์ สิทธิของมนุษย์นี่ขึ้นมา เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นมนุษย์ เห็นไหม แล้วมาตรัสรู้ธรรมในภพของมนุษย์เพราะอะไร เพราะมันมีร่างกายไง ร่างกายมันบีบคั้นนะ ร่างกายเราตั้งแต่เด็กมาจนโตจนจะสิ้นชีวิตไป มันต้องมีอาหารของมันตลอดไป มันต้องผ่อนคลาย

เราบอกอยากจะนอนสบายๆ นะ ให้นอนตลอดไปก็ไม่ได้นะ เวลานอนไปนะ เราอยู่ในอิริยาบถใดก็แล้วแต่ เวลามันกดทับขึ้นมา มันจะมีการขบมีการเมื่อยของมันตลอดไป เห็นไหม ร่างกายมันก็ต้องมีเปลี่ยนอิริยาบถตลอดไป ร่างกายนี่เป็นสิ่งที่มันบีบคั้นตลอดไป แล้วหัวใจมันอยู่ในร่างกายนี้

แล้วดูคนเกิดสิ คนเกิดมานะรูปร่างสวยงาม คนเกิดมาขี้ริ้วขี้เหร่ เห็นไหม นี่มันมาจากไหนล่ะ? มันมาจากไหน? มันมาจากกรรมไง มาจากที่การกระทำ เห็นไหม เราก็ไม่เชื่อกันนะ เราไม่เชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมา ทางวิทยาศาสตร์นี่มันเป็นกรรมพันธุ์ มันเป็นอะไร แล้วกรรมพันธุ์ทำไมมันไม่เหมือนกันล่ะ? ในลูกท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน ทำไมไม่เหมือนกันล่ะ?

นี่ออกมาจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกัน เหมือนกับสายการผลิต เห็นไหม ดูอย่างสินค้าสิ สายการผลิตออกมาต้องเหมือนกัน ถ้าออกมาเหมือนกัน เห็นไหม เว้นไว้แต่ว่ารุ่นเก่ารุ่นใหม่ มันเรื่องของเขาออกไป เห็นไหม นี่ก็เหมือนกัน เกิดจากท้องพ่อท้องแม่เดียวกันก็ต้องเหมือนกันสิ...มันไม่เหมือนกันหรอก! เราไม่สามารถจะแต่งตั้งเป็นตามพอใจของเราได้ พ่อแม่คนไหนไม่อยากให้ลูกเราเกิดมาดีเด่นไปหมดเลย แต่มันเป็นไปได้ไหมล่ะ? มันเป็นไปด้วยกรรมของเขาไง

ในเรื่องของร่างกายนะ ถ้าเป็นกรรมพันธุ์ เป็นทางวิทยาศาสตร์แล้วพิสูจน์แล้ว ดีเอ็นเอนี่พ่อแม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย กรรมพันธุ์ก็พ่อแม่ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์เลย ถ้ามีกรรมพันธุ์ เห็นไหม มีโรคภัยไข้เจ็บก็จะติดถึงลูกถึงหลานตลอดไป อย่างนี้เป็นกรรมพันธุ์แน่นอนเลย แต่หัวใจไม่ใช่ หัวใจอยู่ที่เขาได้ทำมานะ ถ้าหัวใจใช่ มันต้องสั่งได้ มันต้องพอใจได้

เราจะบอกว่า หัวใจมันอยู่ในร่างกายนี่ แล้วการกระทำของจิตมันสะสมมันมา มันมีบุญมีกรรมของมันมา เห็นไหม กรรมมันอยู่ตรงนี้ไง มันมีส่วนขึ้นมา เราถึงได้เกิดมามีโอกาส โอกาสเกิดเป็นมนุษย์นี่ โอกาสนี้ถึงได้อริยทรัพย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี่สำคัญมากเลย แต่เกิดมาแล้วเป็นโจรก็ได้ เป็นมหาบุรุษก็ได้ เป็นใครก็ได้ เพราะอะไร เพราะอยู่ที่การกระทำใช่ไหม?

เวลาเกิดขึ้นมาแล้ว ความดีความชั่วมันอยู่ที่การกระทำ กรรมมันอยู่ที่การกระทำของเรา แล้วทำดีทำชั่ว เห็นไหม มุมมองต่างๆ วัตถุอันหนึ่ง หรือเหตุการณ์อย่างหนึ่งแล้วแต่มุมมองแต่ละบุคคล โจรมันก็มองไปอย่างหนึ่ง มหาบุรุษก็มองไปอีกอย่างหนึ่ง ผู้ที่ว่าเขาอยู่ในภาวะเถียงกันนะ เขามองไปอย่างหนึ่งเพราะอะไร เพราะเขาเจ็บช้ำน้ำใจไง เขาโดนสิ่งนั้นบีบคั้นไง เขาเจ็บช้ำน้ำใจเพราะอะไร เพราะเป็นกรรมของเขาไง แต่ที่มุมมองมันเป็นคติเตือนใจ

เหมือนเจ้าชายสิทธัตถะออกไปเที่ยวสวน เห็นไหม เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เจ้าชายสิทธัตถะสร้างสมบุญญาธิการมาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วพ่อแม่ก็อยากจะให้เป็นจักรพรรดิ อยากให้ครองเรือน พยายามปรนเปรอทุกๆ อย่างเลย จะไม่ให้เห็นว่าโลกนี้เป็นความทุกข์เลย จะให้มีความสุขตลอดไป แล้วสามารถทำได้เพราะกษัตริย์สามารถปรนเปรอลูกได้ทั้งหมดล่ะ จะไปเที่ยวไหนก็ได้ ไม่ให้คนแก่เข้ามาอยู่ใกล้เคียงเลย ไม่ให้เห็น ไม่ให้ทักทายเลย

นี่เวลาเข้าไปเที่ยวในสวนไง ไปเห็นคนเกิด “เอ๊ะ..นี่คืออะไร?” คนแก่ คนเจ็บ คนตาย “เราก็ต้องเป็นอย่างนี้เหรอ?” พอมันเป็นอย่างนี้ มันสะเทือนใจ เห็นไหม นี่มุมมองอย่างนี้พระโพธิสัตว์ แล้วในปัจจุบันนี้ขนาดองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เห็นไหม ให้เรานะ เวลางานศพ เห็นไหม เวลาศพเวียนไป ๓ รอบ นี่กามภพ รูปภพ อรูปภพ เอ็งเกิดเอ็งตายมาไม่มีที่สิ้นสุด แล้วเอ็งก็ต้องมาเวียนตายเวียนเกิดอยู่อย่างนี้

ตราสังข์ เห็นไหม สังข์มือ สังข์เท้า เห็นไหม “ห่วงบุตร ห่วงภรรยา ห่วงสมบัติ เอ็งห่วงมาเท่าไหร่ เอ็งห่วงมาตลอดไป” ทั้งๆ ที่ทำให้เห็นชัดๆ อย่างนี้ ทำให้เตือนใจชัดๆ อย่างนี้ มันยังไม่คิดกันเลย แต่ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสะเทือนใจล่ะ

นี่จะบอกว่าปัญญามันไม่เหมือนกัน ปัญญาความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ สร้างสมบุญญาธิการมาแล้วจะตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชาติสุดท้ายเห็นไหม ชาติสุดท้ายไปเพราะบารมีเต็มไง น้ำมันจะเต็มแก้วอยู่แล้ว เราตักเติมมาจนจะเต็มอยู่แล้ว ถ้าหยดสุดท้ายก็เต็มแก้วพอดี

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตรียมมาเต็มที่ แต่พวกเรานี่มีแก้วเปล่าๆ เกิดมามีแต่แก้วเปล่าๆ บารมีไม่มี ไม่ได้สร้างสมมา เราถึงเกิดมาพบพุทธศาสนา มันมีโอกาสมาก เห็นไหม เพราะพระโพธิสัตว์ไม่มีศาสนา ก็ยังพาหมู่คณะทำบุญกุศลขึ้นมาเพื่อสร้างสมบุญญาธิการ

เราเกิดมาพบพุทธศาสนา เกิดมาพบธรรมและวินัย ธรรมและวินัยเป็นเครื่องชี้นำ เหมือนกับคนที่มีแผนที่ เห็นไหม เราเข้าป่ามีไกด์พานำทางนะ เรายังหลงเลย แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครพานำทาง อยู่ในป่า พยายามดั้นด้นออกมา เห็นไหม นี่ธรรมวินัยชี้เข้าไปในกิเลสของเรา ชี้เข้าไปที่ใจของเรานะ

“ใจของเรา” เราเกิดมาทุกข์ของเรา สุขของเรา ความสุขของเรา แล้วทำอยู่อย่างไร มองไปในโลกนอก ดูสิ ดูเวลาพระธุดงค์ ธุดงค์ไปทำไม? ธุดงค์ไปเพื่อจะหาความสุขความทุกข์ของตัวไง เวลาธุดงค์ไปนะ ธุดงค์ค้นคว้าจากภายใน เห็นไหม เหนื่อยมาก

เวลาอริยวินัย วินัยของพระอริยเจ้า เห็นไหม แม้แต่ไม่ซ้อนผ้ามันก็ไม่เป็นอาบัติ เพราะอะไร เพราะว่าเรามีที่เก็บไว้ดีแล้ว เรามีที่เก็บ ของนี้ไม่หายไป มีเรือน มีกลอน มีประตู เก็บของไว้ ไม่ซ้อนผ้าก็ได้ แต่ถ้าเป็นอริยวินัยให้ซ้อนผ้าไง เพราะซ้อนผ้า ผ้า ๓ ผืนไง ให้ไม่วิตกกังวล

ดูสิ ดูอย่างเช่นเราได้ผ้ามา ถ้าผ้าตั้งแต่ ๔ นิ้วขึ้นไปต้องวิกัป ไม่ให้ถือว่ามีเจ้าของคนเดียว เห็นไหม ถ้าถือว่าเป็นเจ้าของคนเดียว กิเลสมันขี่คอทันทีเลยนะ ผ้าผืนนี้จะทำไอ้นั่น ผ้าผืนนี้จะทำไอ้นี่ สิ่งนั้นเราจะรอให้มันครบผืน ครบผืนแล้วเราจะตัดเป็นสิ่งนั้น จะตัดเป็นอย่างนี้..

นี่คนไม่ทุกข์ไม่ยากนะ ไม่อดไม่อยาก เราไม่น่าคิดเลยว่ากิเลสมันจะคิดได้ขนาดนี้นะ ทั้งๆ ที่เรากว่าจะออกบวช เราสละอะไรมาบ้างล่ะ เราสละอาชีพ สละทุกๆ อย่าง สละทรัพย์สมบัติ เห็นไหม สละสิทธิ การครองเรือน เราสละออกมาทั้งหมดเลย แล้วเวลามาบวชขึ้นมา กิเลสมันก็เอาแค่สิ่งที่ใกล้ตัวสิ่งนี้เอาเข้ามาทำลายจิตใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบัญญัติวินัยไว้ วินัยบอกว่า “ถ้าผ้าได้มาแล้วให้วิกัปเป็นของเจ้าของ ไม่ใช่ของของเราคนเดียว เราจะมามัวคิดอยู่อย่างนี้ไม่ได้” ถ้าเราได้มาแล้วเป็นของเรา เราจะคิดสิทธิ์อะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็น ๒ เจ้าของ เขามีส่วนร่วมด้วย เราจะคิดเองไม่ได้ แต่เวลาของเราได้มา ผ้าเราได้มาเราเก็บเป็นของสงฆ์ ไม่ใช่ของส่วนบุคคล เห็นไหม เก็บเป็นกองกลางๆ เพื่อจะไม่ให้เรามีสิทธิเข้าไปจินตนาการ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมและวินัยไว้ คอยตีมือนะ ตีมือคือตีความคิดไง เวลาสมมุติเราไม่คิด ความคิดมาจากไหน? เวลาไม่คิด ความคิดไม่มี แต่เราคิด ความคิดมาอีกแล้ว นี่ก็เหมือนกัน พอมันมีเหตุไง มีเหตุให้คิดไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงบอกบัญญัติวินัยว่าห้ามเป็นเจ้าของ ห้ามคิด ขนาดห้ามคิดมันก็ยังคิด มันคิดเพราะอะไร เพราะมันมีกิเลส มันมีความต้องการ เพราะเวลามันกดมันบีบคั้นขึ้นมาไง

คนอดถึงอยาก ไม่ทุกข์ไม่ยาก เห็นไหม คนทุกข์คนยาก คนทุกข์จนเข็ญใจ ขอให้มีอาหารมีปัจจัยก็พออาศัยแล้ว คนร่ำรวยศรีสุขนะ จะกินอาหารที่มีคุณภาพ กินอาหารที่ดีๆ เห็นไหม จะไปเที่ยวจักรวาล จะไปเที่ยวอวกาศ กี่ร้อยล้านกี่พันล้านก็จะไปเที่ยวอวกาศ เห็นไหม มันไม่พอหรอก กิเลสนี่ถมไม่เต็มหรอก คนทุกข์คนยากมันถึงทุกข์ๆ ยากสภาวะแบบนี้

แล้วพอเรามาบวชเป็นพระ ไม่ใช่ทุกข์ยากเพราะเราไปอยากทุกข์ยากนะ เพราะเราเลือก เห็นไหม เราต้องมีบริขาร ๘ เราจะถือผ้า ๓ ผืน ธุดงควัตรถือผ้า ๓ ผืน ไม่มีผ้าอาศัยไง เราถึงซ้อนผ้าไง ซ้อนผ้าไป ซ้อนผ้าเพราะเราซ้อนผ้าออกไปบิณฑบาต เห็นไหม มันได้อะไรมา มันก็ได้เหงื่อมาไง มันได้เหงื่อมา ได้ความร้อนมา

นี่อริยวินัย วินัยเพื่ออะไร เพื่อจะดูว่ากิเลสมันพอใจไหม? ความบีบคั้น ความปฏิเสธของใจ ใจมันปฏิเสธสิ่งนี้นะ มันอยากจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข มันจะอยากนอนตามสบายของมัน เห็นไหม แต่เราก็ต้องบิณฑบาตเป็นวัตร ไม่บิณฑบาตก็ไม่ฉัน ต้องเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เห็นไหม ใช้ชีวิตเป็นปกติ ใช้ชีวิตโดยธรรมดาที่สุดเลย

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้นะ ให้เราปกติ ให้มันเป็นธรรมดาที่สุดนะ ปกติของใจ เห็นไหม ศีล ศีลคือความปกติของใจ ใจถ้าไม่คิดวอกแวกเลยเป็นศีลที่บริสุทธิ์มากเลย แต่ใจพอมันคิดวอกแวก มโนกรรมนะ กรรม อาบัติเกิดจากการกระทำ เราไม่ได้กระทำ แต่เราคิดก็เป็นมโนกรรม เห็นไหม กรรม ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ใจมันคิดแล้ว

แล้วถ้าศีลมันเข้าไปเป็นความปกติของใจ เพื่อวางรากฐานมาให้เรามีที่ยืนไง เรามีทุกข์ๆ เราบ่นทุกคนเลยมีทุกข์ๆ เหมือนกับเรา โทษนะ เวลาร่างกายเราสกปรก เราอาบน้ำ เราชำระร่างกายมาสะอาดใช่ไหม? เวลาทุกข์มันทุกข์ที่ไหน? มันทุกข์ที่ใจ พอมันทุกข์ที่ใจ เวลามันทุกข์ขึ้นมา เราจะแก้มันอย่างไร?

ร่างกายสกปรก อาบน้ำก็มีความร่มเย็นเป็นสุขชั่วคราว เวลาทุกข์เกิดมาจากใจเรา แก้ไม่ได้ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราไม่เห็นใจไง ถ้าเราไม่เห็นใจ เราถึงต้องทำความปกติของมันเข้ามาก่อน เห็นไหม ทำสมาธิขึ้นมา

พอทำสมาธิขึ้นมา มีอะไรไปถึงสมาธิได้ล่ะ? ต้องมีสติ สติเกิดจากอะไร? สติเกิดจากจิต เห็นไหม เขาบอกว่า สิ่งที่เกิดจากจิตมันเกิดมาเพราะอะไร เพราะมันเกิดดับเกิดดับ ถ้าเราตั้งขึ้นมา เราพุทโธมันก็มีสติขึ้นมา ถ้าสติประคองขึ้นมา มันสงบเข้ามา สงบเข้ามานะ พอจิตตั้งมั่น จิตมันสงบเข้ามานะ ใครเป็นคนจะสงบ? สติเข้ามา ผู้รู้ เห็นไหม นี่ทุกข์มันอยู่ตรงนี้ไง ทุกข์มันเกิดจากความรู้สึกอันนี้ แล้วเราค้นหาความรู้สึกให้ได้ก่อน

เราไม่ค้นหาความรู้สึกเลย เราจะช่วยเหลือใครก็แล้วแต่ เช่น เรามีญาติพี่น้องอยู่ เขามีความทุกข์ยากมาก เราหาเขาไม่เจอ เราไปช่วยเขาได้ไหม? ช่วยเขาไม่ได้หรอก นี่ก็เหมือนกัน เราจะช่วยตัวเราเองนะ จะช่วยที่ไหน มันต้องช่วยที่ใจ แล้วใจอยู่ไหน? ใจอยู่ไหน?

มันถึงต้องกำหนดพุทโธ พุทโธ พุทโธเพื่ออะไร เห็นไหม เราไม่ใช่กำหนดพุทโธให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาช่วยเราหรอก เราไม่ได้กำหนดสิ่งต่างๆ ทั้งสิ้น แต่เรากำหนดอันนี้เป็นที่เกาะเกี่ยวไปก่อน เป็นที่อาศัยไง สิ่งที่มันเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ เห็นไหม ความรู้สึกนี่มันมี เรารู้สึกว่าความรู้สึกเรามี แต่เราไม่สามารถควบคุมมันได้ เราถึงใช้คำบริกรรมพุทโธ พุทโธไปก่อน หรือจะใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมาก่อนเพื่อจะหาตรงนี้ไง หาสิ่งที่เวลาเราร้อนขึ้นมา เราหิวกระหายขึ้นมา เรากิน เราบำบัด มันก็หายไปใช่ไหม?

แต่เวลาทุกข์นี่มันแก้ไม่ได้ มันแก้ไม่ได้เพราะเราหาเหตุมันไม่เจอ ถ้าหาเหตุไม่เจอ ทำความสงบเข้ามาให้ได้ก่อน เป็นสมถกรรมฐานขึ้นมาก่อน พอจิตมันสงบขึ้นมา นี่ถ้าคนฉลาดมันจะเห็นที่ตั้งของทุกข์ ทุกข์มันตั้งอยู่บนความรู้สึกอันนี้ ทุกข์มันตั้งอยู่บนภวาสวะ ทุกข์มันตั้งอยู่บนพุทโธนี่ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่มันตั้งอยู่ที่ทุกข์ นี่ทำความสะอาดตรงนี้ไง

เราทำความสะอาดบ้าน ทำความสะอาดอะไรได้หมดแหละ แต่เราไม่สามารถทำความสะอาดของใจได้เลยเพราะอะไร เพราะมันมีแต่ขี้โม้ มันโม้ออกไป เวลามันโม้ออกไป มันเป็นอาการของใจ มันส่งออกไปแล้วเพราะอะไร เพราะความโม้ ความคิดนี่มันออกจากฐีติจิต มันออกจากภวาสวะ มันออกจากฐานของความคิดนี้ ออกจากฐานความคิดไป พอมันทิ้งฐานออกมา มันออกมามันก็กลายเป็นการโม้แล้ว โม้ก็เหมือนความคิดออกไปข้างนอกแล้ว มันส่งออกไปแล้ว

ถ้าเราย้อนกลับ แล้วย้อนกลับไปทำความสะอาดตรงนั้น ถึงทำความสงบเข้ามา เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามาถึงความรู้สึกอันนี้ ถึงฐานอันนี้ มันมีความสุขมากๆ สุขอันนี้เป็นสุขขั้นสมถะ สุขอันนี้คือสุขแบบฤๅษีชีไพร สุขอันนี้มันมีก่อนสมัยพุทธกาลอีก

แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ใช้ปัญญา ที่ว่าปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่พุทธวิสัย ปัญญามหาศาลมาก ถึงค้นคว้าสิ่งนี้ได้ แล้วเราเป็นสาวกสาวกะ ปัญญาเรานี่ปัญญาหางอึ่ง ปัญญาขี้เล็บนี่อย่าอวดเก่ง ไม่ต้องอวดเก่งหรอก ปัญญาอย่างเรานี่ปัญญาสมมุติ ปัญญาสัญญา ปัญญาจำ ปัญญาก๊อบปี้ อย่างนี้ไร้สาระมาก

แต่ถ้ามันใช้ฝึกฝนขึ้นมา ถ้าปัญญาไร้สาระขนาดไหน มันก็มีโอกาสฝึกฝนได้ ฝึกฝนจากอะไร ฝึกฝนจากประสบการณ์ตรงของจิตอันนี้ ถ้าจิตมันย้อนกลับมานะ ความรู้ความคิดทั้งหมดเป็นกิเลสทั้งหมด ความคิดความรู้ที่เราว่าฉลาดๆ กิเลสพาใช้ทั้งหมด

แต่พอจิตสงบเข้ามา มันย้อนกลับเข้าไปถึงฐานของจิต มันไปแก้ตรงนี้ มันฝึกฝนหัดใช้ปัญญา ถ้าปัญญาอย่างนี้มันเกิดขึ้นมาโดยสัมมาสมาธิที่ไม่มีกิเลสเข้าไปเจือปน เห็นไหม มันถึงเป็นวิสุทธิมรรค วิสุทธิ วิสุทธิฟังสิ! ฟังว่าเป็นความคิดอันบริสุทธิ์ เห็นไหม แบบที่เราเห็นเด็กๆ มันไร้เดียงสา

เด็กมันไร้เดียงสานะ มันคิดของมันไปไร้เดียงสา มันยังมีกิเลสอยู่นะ แต่อันนี้มันเป็นความคิดที่ยิ่งกว่าไร้เดียงสาอีก เพราะมันเป็นสิ่งที่มันเป็นวิสุทธิ มันเป็นวิสุทธิมรรค มรรคมันเป็นสภาวะแบบนั้น แล้วเราควบคุมได้มันถึงเป็นธรรมจักรไง มันถึงเป็นความบริสุทธิ์ไง มันถึงเป็นมัชฌิมาปฏิปทาไง มันถึงเป็นธรรมะที่มีอยู่ไง

ธรรมกับอธรรมไง สิ่งที่เป็นอธรรมคือความทุกข์ความร้อนในหัวใจไง ธรรมะคือสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว แล้วเราสร้างสมขึ้นมาไง แล้วมันเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเราไง แล้วประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติไปกิเลสมันเข้ามาเป็นอธรรม อธรรมมันก็หลอกเราเอง มันก็เป็นการขี้โม้ มันก็โม้ออกไป

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริงมันก็ย้อนกลับเข้ามาเป็นเชือดชำระกิเลสของเราเข้ามา ปัญญาจะหมุนเข้ามาอย่างนี้ หมุนเข้ามาเรื่อย การฝึกฝนอย่างนี้เป็นภาวนามยปัญญา แล้วเกิดเป็นพยับแดดแวบๆๆๆ แล้วฝึกฝนขึ้นไปมันก็ต่อเนื่องๆๆ จนมีความชำนาญขึ้นมา ชำนาญขึ้นมาจนทำลายกิเลสออกไปเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันจะย้อนกลับเข้ามาถึงจิตนี่ไง

นี่ไง นี่ถึงว่าน้ำอมฤตของธรรม มันจะไปทำลายความทุกข์อันนี้ มันจะมีความร่มเย็นเป็นสุขอันนี้ นี่ธรรมอันนี้เป็นอย่างนี้ นี่คือการที่ว่าอริยมรรค นี่เป็นอริยวินัย เราถึงต้องทุกข์ต้องร้อนกัน จะซ้อนผ้าขนาดไหนมันก็ทรงไว้ซึ่งอริยวินัย อริยมรรค อริยผล

ถ้าเราจะเอาความสะดวกสบายของเราขึ้นมา มองแต่มุมมอง เห็นไหม นู่นก็ไม่จำเป็น นี่ก็ไม่จำเป็น พระทำไมต้องมาทุกข์มาร้อน ทำอะไรให้มันเดือดร้อนกันไป อยู่กันสบายๆ ไม่ดีกว่าเหรอ? นี่กิเลสมันหลอกอย่างนี้ แต่ถ้าเราฝืนๆ เข้าไป ฝืนกิเลสเข้าไปถึงที่สุด มันจะได้น้ำอันนี้เข้ามาชำระกิเลส มันจะได้มีความร่มเย็นเป็นสุขของใจนี่ไง

ถ้าใจอย่างนี้ นี่ศาสนาพุทธเป็นอย่างนี้ ยากอย่างนี้ นี่พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ยากอย่างนี้ แล้วว่าศาสนาพุทธนี่เป็นสิ่งที่ว่าปฏิบัติยากรู้ยาก ต้องใช้ออกปัญญา แล้วก็ไปอ้อนวอนกันนะ ตอนนี้เป็นพุทธโดยไสยเวทย์ไง พุทธโดยไสย ไสยก็อ้อนวอน สิ่งต่างๆ อ้อนวอน

อ้อนวอนไม่ได้ ไม่มีสิ่งที่อ้อนวอนได้ เว้นไว้แต่เป้าหมาย ตั้งเป้าหมายเป็นอธิษฐานบารมี ตั้งเป้าหมายได้ ทำถึงไม่ถึงมันหน้าที่ของเรา ตั้งเป้าหมายไม่ตั้งเป้าหมายก็อยู่ที่การกระทำ ต้องทำทั้งหมด อยู่ที่กรรมทั้งหมด เห็นไหม ถึงบอกว่ากรรม การสะสมมาของจิต การสะสมของการกระทำ แล้วมันจะไปทำลายความสะอาดของใจอันนี้ จิตใจดวงนี้จะพ้นไปได้ เอวัง